โดนแกง

ผมมีเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง

หลายคนอาจพอรู้เรื่องราว Bullshit Jobs กันมาบ้างแล้ว จนเกรเบอร์เรียกยุคสมัยนี้ว่ามันไม่ใช่ทุนนิยมอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า Managerial Feudalism หรืออาจแปลไทยคร่าวๆ ได้ว่า ระบบศักดินาบริหารนิยมนั่นแหละ สิ่งที่ผมเจอกับตัวเองมีทั้งเรื่องเอกสารที่ต้องทำเยอะแยะมากมาย ฟอร์มที่ต้องกรอกให้ครบ พูดง่ายๆ คืองานที่ทำถูกเปลี่ยนเป็นเรื่องเอกสาร ข้อเขียนคือความจริง มากกว่าสิ่งที่ได้ทำจริงๆ หรือเกิดขึ้นจริงเสียอีก ภาพยนตร์ที่ผมคิดว่ามันแสดงให้เห็นถึงเรื่องแบบนี้ได้ชัดเจนก็คือ Memories of Murder ที่ตำรวจจากกรุงโซล ‘เชื่อ’ ว่าเอกสารคือความจริง เอกสารไม่เคยโกหก จนกระทั่งถึงตอนสุดท้ายที่… (ดูเอาเองดีกว่าครับ เดี๋ยวสปอลย์ อิอิ) นั่นแหละ

แต่กระนั้น สิ่งที่กระแทกใจผมมากๆ ไม่ใช่เรื่องงานที่ถูกเปลี่ยนเป็นเรื่องเอกสารไปเสียหมด เพราะเราแทบถูกฝึกเรืื่องแบบนี้มาตั้งแต่การตีเส้น ขีดเส้นประโยคสัญลักษณ์ตอนเรียนวิชาคณิตศาสตร์แล้ว พูดง่ายๆ คือรูปแบบสำคัญกว่าสิ่งที่คิด สิ่งที่เขียน สิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั่นแหละ แต่เป็นเรื่องการโยกวางตำแหน่งของงานบางอย่างที่มีความสำคัญแต่ถูกเอาไปแปะไว้เป็นตัวแถม

เรื่องถัดไปที่จะเล่า ให้ถือเอาเสียว่ามันคือเรื่องแต่ง เรื่องแต่งที่อาจสมจริงในมุมของผม แต่สำหรับสหายผู้อ่าน โปรดถือเสียว่ามันเป็นแค่โลกในจินตนาการก็พอ

เรื่องของเรื่องก็คือว่า เมื่องานห่วยแตก หรือ Bullshit Jobs มาร่วมกับการจ้างงานเปราะบาง และผสมโรงเข้ากับระบบศักดินาบริหารนิยมอันแสนอบอุ่นในเครือชนชั้นนำแล้วนั้น ก็ได้เกิดอาชีพหมอที่ผมขอเรียกว่า ‘หมอสำรองนั่ง’ ขึ้นมาเฉยเลย กล่าวคือ เมื่อสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในเขตเมืองกรุงดีขึ้นเป็นลำดับ รพ.สนามก็ทยอยปิดตามๆ กัน กลุ่มหมอที่ทำงานในรพ.เหล่านั้น โดยเฉพาะรพ.รัฐบางแห่ง ไม่เคยได้รับสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษร ก็หมด ‘งาน’ จริงๆ ขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่ ‘งาน’ หมอขาดแคลนอยู่มาก แต่การโยกย้ายจัดวางตำแหน่งก็เป็นไปด้วยความยากลำบากในระบบระเบียบของราชการ ที่ในกรณีนี้ยิ่งยากเข้าไปอีกเพราะเป็นระบบผสมโรงกับการออกนอกระบบ ซึ่งไม่ช่วยอะไรนอกเสียจากความเท่ที่ได้ก้าวล้ำเข้าสู่เสรีนิยมใหม่เท่านั้น ลงเอยที่หมอเหล่านั้นถูกจัดให้ไปดูเคสที่แทบไม่ต้องดู หรือจริงๆ คือเป็นเคสที่ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไปแล้ว และแถมว่าถ้ามีปัญหาก็ให้ย้ายเคสนี้ไปอยู่ในความรับผิดชอบของหมอแผนกที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้โดยตรงแทน สรุปก็คือ หมอที่หลุดจากระบบรพ.สนาม ถูกโยกย้ายอย่างอิหลักอิเหลื่อเข้าไปสู่รพ.จริงๆ แต่ได้รับงานที่น้อยกว่าเดิม ด้วยค่าจ้างพอๆ เดิม เนื่องจากเป็นอัตราที่ตกลงกันไว้(ทางใจ)

เรื่องราวที่เกิดขึ้นดูจะเป็นอะไรที่แปลกประหลาดสิ้นดี หากระบบทุนนิยมทำงานจริงๆ จังๆ หมอเช่นในกรณีนั้นควรถูกให้ออกจากงานทันที เพราะสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรไม่มี การต่อรองต่ำ อีกทั้งสหภาพแรงงานของหมอในประเทศที่เรารู้ๆ กันดีนี้ก็ไม่มี สรุปก็คือ เปราะบางอย่างชัดเจน แต่ทำไมเล่า เรื่องถึงกลายเป็นว่าหมอเช่นกรณีนี้จึงได้ถูกโยกย้ายไปรับงานที่ไม่มีใครต้องทำก็ได้ งานที่ภาระงานต่ำกว่าเงินเดือนที่ได้รับจริงอย่างชัดเจน เป็นแค่หุ่นนั่งเล่นกรอกฟอร์มเล็กน้อยก็เท่านั้น เวลาที่เหลือส่วนมาก คือการหาว่าจะทำอะไรกับชีวิตดี

ปรากฏการณ์นี้ หากเราคิดในแง่ของศักดินาบริหารนิยมก็น่าจะให้คำตอบได้ เพราะระบบนี้ไม่ได้สนใจเรื่องประสิทธิภาพ แต่สนใจผลิตซ้ำโครงสร้างที่มีช่วงชั้นลำดับขั้นอย่างแข็งตึงออกมาในนามของรางวัลแด่ผู้มีความสามารถเสียมากกว่า พูดง่ายๆ คือเปลี่ยนจากระบอบคนกินคนของผู้มีบุญล้วนๆ เป็นระบอบของคนกินคนของผูัมีบุญที่เก่งกาจแทน ผู้ชนะในระบบนี้ สร้างความชอบธรรมจากจริยธรรมของการฝึกตนอย่างโหดเหี้ยม ทำงานหนัก โดยไม่สนใจว่างานที่ทำคืออะไร เรียนหนักโดยไม่สนใจตั้งคำถามกับสิ่งที่เรียน เพื่อคว้ารางวัลที่ได้มาในรูปของการไต่เต้าขึ้นบันไดของสังคมภายใต้ความสูญเสียของผู้อื่น

เอาล่ะ หากเราหยุดคร่ำครวญ แล้วมาเล่าเรื่องกันต่อ เราจะพบว่านอกจากความสามารถเป็นผู้กระทำการที่ระบบหยิบยื่นให้กับหมอเช่นในกรณีนี้นั้น เขาก็ต้องรับรู้ว่าระบบไม่ได้ให้รางวัลกับเขาโดยไม่มีเงื่อนไข ความเปราะบางที่ได้รับมาพร้อมกับอภิสิทธิ์เคลือบยาพิษในรูปของงานห่วยแตกนั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องรับมันมาโดยดุษฎี พูดง่ายๆ ก็คือ เขาห้ามขัดขืนมัน อดเอาไว้ แล้วอม แล้วกลืนความโหดร้ายต่อจิตใจคุณลงไปเสีย

การณ์กลับกลายเป็นว่า หมอในเรื่องเล่าของเราไม่ยอมกล้ำกลืนความกลวงเปล่านั้นลงคอ เขาไขว่ขว้าที่จะกลับเข้าหาระบบราชการ อันเป็นปราการด่านสุดท้ายของความมั่นคงในชีวิตยุคนี้ เขาคิดว่าสมควรพิจารณาเงื่อนไขที่มีการโฆษณาปิดประกาศเมื่อนานมาแล้วสักที เขาโทรไปแล้วได้คำตอบว่า

‘เดี๋ยวพี่จะคุยกับประธานองค์กรแพทย์ และผอ. แล้วจะนัดเรียกตัวมาคุยอีกครั้งนะคะ’

คำตอบที่ว่าไม่ใช่ทุกสิ่ง หมอคนนั้นยังได้รับการชี้แจงกระบวนการเข้ารับบรรจุราชการและสอบถามสิ่งต่างๆ เป็นการสมควร หมอท่านนั้นวางใจ และอีกไม่นานก็ขอออกจากระบบงานปัจจุบันที่เขาได้รับการโยกย้ายเข้าไป ‘สำรองนั่ง’ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรนั้นเสีย เพราะเขาคิดว่า การนั่งอยู่เฉยๆ แล้วรับเงินมานั้น เป็นเรื่องที่ทรมาณจิตใจของเขามาก

ก่อนจะไปเรื่องอื่น ความรู้สึกของหมอคนนั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจ หากเราพิจารณาอย่างผิวเผิน เราอาจกล่าวได้ว่า หมอคนนั้นมีจิตสำนึกที่ผิดพลาด ในแง่การสยบยอมต่ออุดมการณ์ผลิตภาพนิยม ที่คอยผลักดันให้คนเราหาทำสิ่งมีผลิตภาพสร้างผลิตผลต่างๆ ออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ข้อวิเคราะห์นี้อาจถูกต้อง ถ้าเรามองแค่แง่ผิวเผิน แต่เราจำต้องไม่ลืมว่า ข้อวิเคราะห์นี้อยู่บนพื้นฐานที่พิจารณาหมอคนนั้นในฐานะคนคนเดียว ประเด็นที่สำคัญซึ่งผมจะสื่อก็คือว่า หมอคนนั้นไม่ได้อยู่คนเดียว เขาอยู่ในชุมชนที่มีคนมากหน้าหลายตาไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน แม้ว่าจะทำงานอาบเหงื่อตากน้ำ รวมถึงหลายต่อหลายคนไม่มีเงินสักแดงเดียวด้วยซ้ำ

เงิน หรือทุน หรือทรัพยากร จำต้องถูกแบ่งสันปันส่วนให้เป็นธรรม ก่อนที่จะจ้างให้คนไม่กี่คนมาสำรองนั่งอยู่เฉยๆ เช่นนี้

เงินรายได้พื้นฐานถ้วนหน้าอย่างไม่มีเงื่อนไข ต่างจากเงินที่ให้โดยผูกคนไว้กับงานห่วยๆ อย่างสิ้นเชิง อย่างแรกให้เพื่อสลายความเป็นช่วงชั้นลำดับขั้นในสังคม ปลดปล่อยพลังการผลิตให้คนได้ไปดูแล แคร์ หรือทำในสิ่งที่ตนรักได้อย่างถ้วนหน้า อย่างหลังกลับเป็นการจ่ายเงินให้คนจำนวนน้อย เพื่อรักษาความเหลื่อมล้ำต่ำสูงเอาไว้เสียมากกว่า อีกทั้งบั่นทอนจิตวิญญาณของการทำงานแคร์เพื่อผู้อื่นไปด้วย เพราะต้องจับเจ่าอยู่กับที่ และดูแลจัดการเอกสารไร้สาระไปวันๆ

วกกลับมาที่เรื่องราวอีกครั้ง สหายผู้อ่านคงไม่พลาดที่จะเดาได้ว่า เรื่องเหล่านี้ไม่มีทางจบดี ไม่เช่นนั้นชื่อเรื่องคงเป็นอื่นไปแล้ว ก็ตามนั้นแหละครับ หมอท่านนั้นพลาดโดนลวง เมื่อการติดต่อกลับไม่เกิดขึ้นนานนับเดือน เขาจึงโทรไปถามแล้วได้ความว่า รพ.จ้างเหมาหมอเต็มอัตราแล้ว ตอนนี้มีหมอคนหนึ่งในจำนวนนั้นกำลังทำเรื่องขอบรรจุเข้ารับราชการ ดังนั้นทางรพ.จึงต้องรอให้เขาได้บรรจุเข้ารับราชการก่อน จึงจะจ้างหมอท่านนั้นได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงสมควรที่จะเฉลิมฉลองมิใช่ฤา? ที่งานบั่นทอนจิตใจต้องจบลง และงานรพ.ทั่วไปที่ล้นทะลักเบียดขับเวลานอนก็ไม่ต้อนรับเขา สิ่งที่รอคอยเขาก็คงเป็นความว่างเปล่าภายใต้โลกที่เน้นการแข่งขันเป็นเบื้องหน้า แต่ผลิตซ้ำความอภิสิทธิ์เป็นเบื้องหลังนี้

หรือเขาแค่ควรเขียนอะไรออกมาเป็นบันทึกไว้ ก่อนที่เรื่องราวจะหายไป?

บันทึกไว้ ก่อนที่การปฏิวัติจะมาถึง แล้วทุกคนจะได้ดูแล แคร์คนที่รัก รับประกันความมั่นคงของชีวิตทุกคนในสังคมอย่างเท่าเทียมกัน.